บทที่ 10 การนำระบบไปใช้/การบำรุง รักษาระบบ 1

79 Slides1.61 MB

บทที่ 10 การนำระบบไปใช้/การบำรุง รักษาระบบ 1

บทนำ ระยะนี้จะทำให้ระบบเกิดผลด้วยการสร้างระบบขึ้นมา ซึ่งข้องเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1. การจัดหาระบบ 2. การเขียนโปรแกรม (Coding) 3. การทดสอบ (Testing) 4. การติดตัง ้ (Installation) 5. การจัดทำเอกสารคู่มอ ื การใช้งาน (Documentation) 6. การฝึกอบรม (Training) 7. การประเมินผลระบบ (System Evaluation)

หัวข้อการเรียนรู้ 1. ขัน ้ ตอนการเขียนโปรแกรม 2. การทดสอบแบบ Black Box และ White Box 3. วิธก ี ารติดตัง ้ ระบบ 4. เอกสารคู่มอ ื การใช้งาน 5. ชนิดของการฝึกอบรม 6. แบบฟอร์มการประเมินผล 7. วิธก ี ารบำรุงรักษาระบบ

การจัดหาระบบ เกิดขึ้นเมื่อทีมงานโครงการทำการออกแบบระบบได้ เสร็จสิน ้ ลง ทีมงานพัฒนาระบบก็จะทราบว่าระบบ สารสนเทศที่จะพัฒนาขึ้นใหม่จะมีสว่ นประกอบอะไรบ้าง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบบ การจัดหาอุ ปกรณ์ การจัดหาระบบ การจัดหาโปรแกรม ประยุกต์ การพิจารณาข้อเสนอ ของผู้ขาย

การจัดหาระบบ 1. การจัดหาอุ ปกรณ์ (Hardware Acquisition) การซื้อระบบสำเร็จรูป การจัดหา อุ ปกรณ์ การขอข้อเสนอทัว่ ไป การขอข้อมูลเสนอที่เฉพาะ เจาะจง การซื้อจากผู้ขายรายเดียว หรือหลายราย

การจัดหาระบบ 2. การจัดหาโปรแกรมประยุกต์ (Application Software Acquisition) การจัดหาโปรแกรม ประยุกต์ การซื้อเข้ามาทัง้ โปรแกรม การพัฒนาขึ้นเอง

การจัดหาระบบ 3. การพิจารณาข้อเสนอของผู้ขาย (Vendor Review and Evaluation) การพิจารณาข้อ เสนอของผู้ขาย การทดสอบแบบ Benchmark การให้คะแนนผู้ขาย

การเขียนโปรแกรม (Coding) คือการสร้างระบบขึ้นมาเพื่อใช้งาน โดยผู้รบ ั ผิดชอบ คือโปรแกรมเมอร์ โดยการเขียนโปรแกรม ประกอบด้วย ขัน ้ ตอนต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ศึกษาจากเอกสารต่าง ๆ หมายถึงเอกสารที่ได้จาก การวิเคราะห์ และออกแบบที่นักวิเคราะห์ระบบได้จด ั ทำไว้ให้ ประกอบด้วย แผนภาพกระแสข้อมูล คำ อธิบายการประมวลผลข้อมูล พจนานุกรมข้อมูล รวม ถึงรูปแบบการบันทึกข้อมูลทางจอภาพ และรูปแบบ เอาต์พุตหรือรายงานต่างๆ ออกแบบโปรแกรม เพื่อแก้ปัญหา และตัดสินใจ แนวทางเพื่อให้การพัฒนาในขัน ้ ตอนนี้เกิดผลสำเร็จ

การเขียนโปรแกรม (Coding) 4. ทดสอบโปรแกรม ตามปกติแล้ว โปรแกรมเมอร์จะ ดำเนินการเขียนโปรแกรมควบคู่ไปกับการทดสอบ โปรแกรมเสมอ โปรแกรมเมอร์นอกจากตรวจสอบความ ถูกต้องในรูปแบบภาษาเขียนแล้ว ยังต้องตรวจสอบ ความถูกต้องของผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลของ โปรแกรมด้วย 5. จัดทำเอกสารประกอบโปรแกรม เอกสารที่ใช้ประกอบ การเขียนโปรแกรม การจัดทำเอกสารดังกล่าว ก็เพื่อ ประโยชน์ต่อการปรับปรุงแก้ไขโปรแกรมในอนาคต

การทดสอบ (Testing) เป็นการทดสอบโปรแกรมที่ใช้งานในระบบว่าสามารถ ทำงานได้อย่างถูกต้องหรือไม่ ก่อนที่จะดำเนินการติดตัง ้ ระบบเพื่อใช้งานจริง อาจมีความจำเป็นต้องจำลอง สถานการณ์การดำเนินงานขึ้นมา

การทดสอบ (Testing) เทคนิคการทดสอบ (Testing Techniques) สามารถดำเนินการทดสอบวิธก ี ารต่อไปนี้ Black Box Testing เป็นการทดสอบฟังก์ชน ั การ ทำงานของระบบที่ต้องการทราบเพียงว่า เมื่อมีการ อินพุ ตข้อมูลเข้าสูร่ ะบบแล้ว จะได้ผลลัพธ์ออกมาอย่างไร โดยไม่สนใจว่าระบบมีกระบวนการทำงานอย่างไร White Box Testing เป็นการทดสอบโปรแกรม ภายในว่ามีวธ ิ ก ี ารเขียนอย่างไร มีการตรวจสอบฟังก์ชน ั การทำงานว่าถูกต้องและครบถ้วนหรือไม่ โปรแกรมที่ เขียนขึ้นมีขอ ้ ผิดพลาดเชิงตรรกะ (Logic Error) หรือ ไม่ มีการออกแบบตรรกะโปรแกรมที่มป ี ระสิทธิภาพหรือ

การทดสอบ (Testing) เทคนิคการทดสอบ (Testing Techniques)

การทดสอบ (Testing) ขัน ้ ตอนการทดสอบ (Stages of Tests) จะประกอบ ด้วย 4 ขัน ้ ตอนพื้นฐาน คือ 1. การทดสอบหน่วยย่อย (Unit Testing) 2. การทดสอบด้วยการนำโปรแกรมมาประกอบรวมกัน (Integration Testing) 3. การทดสอบทัง ้ ระบบ (System Testing) 4. การทดสอบการยอมรับในระบบ (Acceptance Testing)

การทดสอบ (Testing) การทดสอบหน่วยย่อย (Unit Testing) มุง ่ เน้นถึงการ ตรวจสอบความถูกต้องและข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นภายใน โมดูล โปรแกรมเมอร์ก็จะทดสอบจนกระทัง ่ เชื่อว่าโค้ด โมดูลนี้ปราศจากข้อผิดพลาด การทดสอบด้วยการนำโปรแกรมมาประกอบรวมกัน (Integration Testing) คือการทดสอบ ด้วย การนำกลุ่มโปรแกรมหรือโมดูลต่าง ๆ มาประกอบรวม กัน ระบบจะต้องทำงานโดยปราศจากข้อผิดพลาด และ ต้องมีความมัน ่ ใจว่าการเชื่อมโยง และการส่งผ่านข้อมูล ไปมาระหว่างโมดูลจะต้องทำงานอย่างถูกต้องและครบ ถ้วน สามารถดำเนินการด้วยวิธแ ี บบล่างขึ้นบน (Bottom-up Integration) และวิธแ ี บบบนลงล่าง

การทดสอบ (Testing) การทดสอบทั้งระบบ (System Testing) คือการ ทดสอบระบบทัง ้ หมดก่อนที่จะดำเนินการส่งมอบให้กับ ลูกค้า นักวิเคราะห์ระบบจะต้องมัน ่ ใจว่าทุก ๆ โมดูล และ โปรแกรมต่าง ๆ จะต้องทำงานร่วมกันโดยปราศจากข้อ ผิดพลาด และตรงตามความต้องการของผู้ใช้ รวมถึง การทดสอบประสิทธิภาพของระบบ (Performance Testing) ว่าระบบมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงไร การทดสอบการยอมรับในระบบ (Acceptance Testing) คือการตรวจรับระบบ ที่ผู้ใช้จะเป็นผู้ยน ื ยัน ถึงความสมบูรณ์ของระบบ ว่าระบบสามารถรองรับ กระบวนการทางธุรกิจได้ตรงความต้องการ ถูกต้อง และ ครบถ้วนหรือไม่ อย่างไร

การทดสอบ (Testing) การทดสอบแบบอัลฟา (Alpha Testing) จะดำเนิน การทดสอบระบบด้วยการจำลองสภาพแวดล้อมขึ้นมา การทดสอบแบบเบต้า (Beta Testing) ทีมงานจะให้ผู้ ใช้งานจริงทำการทดสอบระบบบนสภาพแวดล้อมจริง และใช้ขอ ้ มูลจริงในการทดสอบ

การติดตั้ง (Installation) นักวิเคราะห์ระบบ สามารถเลือกใช้วธ ิ ก ี ารติดตัง ี ยู่ ้ ที่มอ หลายวิธด ี ้วยกันตามความเหมาะสม ซึ่งประกอบด้วยวิธี การติดตัง ี ้วยกันคือ ้ 4 วิธด 1. การติดตั้งเพื่อใช้งานใหม่ทันที (Direct Installation) เนื่องมาจากระบบเดิมกับระบบใหม่มี ความแตกต่างกันอย่างสิน ้ เชิง ไม่สามารถนำผลลัพธ์จาก ระบบทัง ี ี้ ้ สองมาทำการเปรียบเทียบกันได้ สำหรับวิธน บางครัง้ อาจเรียกว่า Immediate Cutover ซึ่งถือ เป็นวิธก ี ารติดตัง ุ ้ ที่ง่ายที่สด

การติดตั้ง (Installation) 1. การติดตั้งเพื่อใช้งานใหม่ทันที (Direct Installation) ข้อดี - ระบบใหม่สามารถดำเนินการใช้งานได้ทันที - สถานการณ์บง ั คับให้ผู้ใช้งานต้องใช้ระบบใหม่ โดยไม่ สามารถกลับไปใช้ ระบบงานเดิมได้ - ง่ายต่อการวางแผน - ค่าใช้จา่ ยต่ำ และใช้เวลาน้อย

การติดตั้ง (Installation) 1. การติดตั้งเพื่อใช้งานใหม่ทันที (Direct Installation) ข้อเสีย - อาจเกิดข้อผิดพลาดที่คาดไม่ถึงในขณะที่ใช้ระบบใหม่ - ถึงแม้ระบบใหม่จะใช้งานได้จริงก็ตาม แต่นัน ่ ไม่ได้ หมายถึงความสมบูรณ์ของ ระบบใหม่โดยรวม - จัดเป็นวิธก ี ารติดตัง ี วามเสีย ่ งสูงที่สด ุ ้ ที่มค เมื่อเปรียบเทียบกับการติดตัง ี ่ ืน ๆ ้ ด้วยวิธอ

การติดตั้ง (Installation) 2. การติดตั้งแบบคู่ขนาน (Parallel Installation) เป็นวิธก ี ารติดตัง ี ารปฏิบต ั ิงานทัง ้ ที่มก ้ ระบบเดิมกับ ระบบใหม่ขนานกันไป หากกรณีที่ระบบใหม่เกิดปัญหาขึ้น ก็จะไม่สง ่ ผลกระทบใด ๆ เนื่องจากระบบงานเดิมก็ยง ั คง ดำเนินการปกติ โดยระบบจะสมบูรณ์ต่อเมื่อการดำเนิน งานของระบบใหม่เป็นไปอย่างไม่มป ี ัญหาหรือไม่พบข้อ ผิดพลาดใด ๆ จนกระทัง ่ มัน ่ ใจ แล้วจึงค่อยดำเนินการใช้ ระบบใหม่ และยกเลิกใช้งานระบบเดิมในที่สด ุ ข้อดี - มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากหากระบบใหม่เกิดข้อผิด พลาด ระบบเดิมก็ยง ั สามารถนำมาใช้งานเพื่อการสำรองได้

การติดตั้ง (Installation) 2. การติดตั้งแบบคู่ขนาน (Parallel Installation) ข้อเสีย - ใช้ต้นทุนสูง เนื่องจากจำเป็นต้องดำเนินการทัง ้ ระบบ เดิม กับระบบใหม่ควบคู่ ด้วยกัน - สิน ้ สองระบบ และการ ้ เปลืองเวลาไปกับการทำงานทัง เปรียบเทียบระบบทัง ้ สอง - ในกรณีที่ระบบใหม่เกิดข้อผิดพลาด ผู้ใช้งานอาจเกิด ทัศนคติที่ไม่ดีต่อระบบใหม่ และอาจมุง ่ ความสนใจกับการใช้งานระบบงานเก่าเช่น เดิม

การติดตั้ง (Installation) 3. การติดตั้งแบบทีละเฟส (Phased Installation) เป็นวิธก ี ารติดตัง ี ารกำหนดเป็นระยะ ๆ โดยแต่ละ ้ ที่มก ระยะจะมีการเพิม ั การทำงาน ่ องค์ประกอบหรือฟังก์ชน ของระบบ ข้อดี - เจ้าของระบบ หรือเจ้าของกิจการไม่จำเป็นต้อง ชำระเงินก้อนใหญ่ทัง ้ หมด สามารถชำระเงินค่าระบบ ในแต่ละส่วน ของแต่ละระยะนัน ้ ๆ ได้ - หากเกิดข้อผิดพลาด จะไม่สง ่ ผลกระทบต่อระบบ โดยรวม โดยจะส่งผลต่อระบบ

การติดตั้ง (Installation) 3. การติดตั้งแบบทีละเฟส (Phased Installation) ข้อเสีย - อาจใช้เวลามากเกินไปกับบางระบบงาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการรอพัฒนาระบบงานย่อย ในลำดับถัดไปของระยะต่อไป - หากระบบย่อยต่าง ๆ ไม่สามารถแบ่งแยกโดยอิสระ ได้ ก็จะยากต่อการแบ่งการติดตัง ้ ทีละระยะ กล่าวคือ ไม่ เหมาะสมกับระบบงานที่ไม่สามารถแบ่งระบบออกเป็น ส่วนย่อย ๆ ได้

การติดตั้ง (Installation) 4. การติดตั้งแบบโครงการนำร่อง (Pilot Project) โดยจะดำเนินการติดตัง ้ ระบบเฉพาะส่วนงาน ใดส่วนงานหนึ่งก่อน ข้อดี - ลดความเสีย ่ งได้ดี และค่าใช้จา่ ยต่ำ ข้อเสีย ใน - วิธน ี ี้เหมาะสมกับระบบที่มค ี วามสมบูรณ์ ตัวเอง ที่ไม่ขอ ้ งเกี่ยวกับระบบงานอื่น ๆ

การติดตั้ง (Installation)

การจัดทำเอกสารคู่มอ ื ใช้งาน (Documentation/Manuals) จัดได้วา่ เป็นเอกสารส่วนหนึ่งที่ใช้สำหรับการฝึกอบรม คุณภาพ และชนิดของเอกสารคู่มอ ื การใช้งาน แต่หมาย ถึงความสำเร็จของระบบ โดยพื้นฐานชนิดของเอกสาร คู่มอ ื ใช้งาน ประกอบด้วย เอกสารคู่มอ ื สำหรับผู้ใช้ และ เอกสารคู่มอ ื ระบบ เอกสารคู่มอ ื สำหรับผู้ใช้ (User Documentation) อ่านคู่มอ ื ใช้งานก่อนที่จะปฏิบต ั ิงานจริงกับระบบ ข้อความในเอกสารต้องชัดเจน อ่านแล้วง่ายต่อการ ทำความเข้าใจ และควรมีการจัดแบ่งลำดับหัวข้อต่าง ๆ ให้เหมาะสม มีสารบัญ และดัชนีเพื่อใช้สำหรับช่วยค้นหา คำที่ต้องการได้ เอกสารคู่มอ ื สำหรับผู้ใช้ ในบางครัง้ อาจ เรียกว่า User’s Manual แบ่งเป็น 3 ชนิดด้วยกัน คือ

การจัดทำเอกสารคู่มอ ื ใช้งาน (Documentation/Manuals) เอกสารคู่มอ ื สำหรับผู้ใช้ (User Documentation) ระบบความช่วยเหลือ (The Help System) เป็นการออกแบบเพื่อให้ผู้ใช้ที่ต้องการทราบว่าจะปฏิบต ั ิ งานกับฟังก์ชน ั ต่าง ๆ เหล่านี้อย่างไร

การจัดทำเอกสารคู่มอ ื ใช้งาน (Documentation/Manuals) เอกสารคู่มอ ื สำหรับผู้ใช้ (User Documentation) คู่มอ ื ปฏิบต ั ิงาน (Procedures Manuals) เป็นการอธิบายว่าจะปฏิบต ั ิงานกับงานทางธุรกิจนี้ อย่างไร การฝึกสอน (Tutorials) เป็นการ ฝึกสอนให้ผู้ใช้สามารถระบบได้ด้วย บทเรียน

การจัดทำเอกสารคู่มอ ื ใช้งาน (Documentation/Manuals) เอกสารคู่มอ ื ระบบ (System Documentation) จะช่วยให้ผู้ ปฏิบต ั ิการหรือโอเปอเรเตอร์ได้เข้าใจ เกี่ยวกับแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์วา่ จะ จัดการกับระบบ หรือบำรุงรักษาระบบ อย่างไรหลังจากที่ได้ดำเนินการติดตัง ้ ไปแล้ว รวมถึงการปฏิบต ั ิการเพื่อ ปรับปรุงระบบให้มป ี ระสิทธิภาพอย่างไร จะดำเนินการแก้ไขอย่างไรในกรณีที่ ระบบเกิดข้อขัดข้อง การติดตัง ้ อุ ปกรณ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ต้อง ดำเนินการอย่างไร การอนุญาตหรือไม่

การฝึกอบรม (Training) ผู้ใช้ คือ ผู้ที่โต้ตอบกับระบบเพื่อทำงานประจำวัน ผู้ปฏิบต ั ิการหรือโอเปอเรเตอร์ ผู้ที่ทำหน้าที่ปฏิบต ั ิ การสนับสนุนระบบให้สามารถดำเนินการได้ตามปกติ

การฝึกอบรม (Training) ชนิดของการฝึกอบรม (Types of Training) การฝึกอบรม จึงสมควรดำเนินการฝึกอบรมตามชนิด ของกลุ่มบุคคล ซึ่งประกอบด้วย การฝึกอบรมผู้ใช้ และ การฝึกอบรมผู้ปฏิบต ั ิการ - การฝึกอบรมผู้ใช้ (User Training) จะตัง ่ น ้ อยูบ พื้นฐานการทำงานของระบบ และความต้องการเข้าถึง ข้อมูลของผู้ใช้เป็นสำคัญ จะต้องอธิบายให้ผู้ใช้เข้าใจถึง การทำงานของระบบว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง และจะต้อง ดำเนินการอย่างไรเป็นสำคัญ - การฝึกอบรมผู้ปฏิบต ั ิการ (Operator Training) จะมุง ่ ความสนใจถึงหน้าที่การสนับสนุนระบบเป็นสำคัญ

การฝึกอบรม (Training) ี ารฝึกอบรม (Training Method) วิธก - ฝึกอบรมโดยใช้วท ิ ยากร การบรรยาย การอภิปราย หรือการสาธิตประกอบการฝึกอบรม - ฝึกอบรมด้วยตนเอง (Online Help) CBT (Computer-Based Training)

การประเมินผลระบบ (System Evaluation) ควรกำหนดในช่ วงระยะเวลาที่เหมาะสมของการ ประเมินผลระบบ ก็คือ ควรดำเนินการภายหลังการติดตัง ้ และใช้งานไปแล้วประมาณ 6 – 9 เดือน จุดประสงค์หลัก ก็คือ ต้องการประเมินผลระบบงานว่า ระบบใหม่ที่ติดตัง ้ และใช้งานนัน ้ เป็นไปตามความต้องการ หรือวัตถุประสงค์ของผู้ใช้หรือไม่มข ี อ ้ บกพร่องส่วนใดบ้าง ที่คิดว่าน่าจะได้รบ ั การปรับปรุง ไม่วา่ จะเป็นด้านฟังก์ชน ั การทำงานของระบบ การโต้ตอบกับระบบ ความปลอดภัย ของระบบ รวมถึงเอกสารคู่มอ ื ประกอบการใช้งาน

การบำรุงรักษาระบบ (Systems Maintenance) ชนิดของการบำรุ งรักษาประกอบด้วย 4 วิธี 1. การบำรุงรักษาด้วยการแก้ไขให้ถก ู ต้อง (Corrective Maintenance) เป็นการควบคุม การทำงานของระบบที่ดำเนินงานอยูป ่ ระจำวัน ให้ดำเนิน การต่อไปได้ ซึ่งผู้ใช้อาจพบข้อผิดพลาดในระบบการ ทำงานบางส่วน ดังนัน ั การแก้ไขให้ถก ู ต้อง ้ จะต้องได้รบ เพื่อให้ระบบงานสามารถดำเนินการต่อไปได้ตามปกติ 2. การบำรุงรักษาด้วยการปรับระบบให้สามารถรองรับ สภาพแวดล้อมใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป (Adaptive Maintenance) หรือเป็นไปตามเทคโนโลยี นอกจาก นี้ Adaptive Maintenance ยังรวมถึงการปรับปรุง

การบำรุงรักษาระบบ (Systems Maintenance) ชนิดของการบำรุ งรักษาประกอบด้วย 4 วิธี การบำรุงรักษาด้วยการปรับปรุงให้ระบบมีประสิทธิภาพ ดียง ิ่ ขึน ้ (Perfective Maintenance) เป็นการ บำรุงรักษาด้วยการเพิม ่ คุณสมบัติใหม่ (Features) หรือ ปรับปรุงกระบวนการที่มอ ี ยูใ่ ห้มป ี ระสิทธิภาพดียง ิ่ ขึ้นกว่า เดิม การบำรุงรักษาด้วยการป้องกัน (Preventive Maintenance) เพื่อช่วยลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิด ขึ้นในอนาคต

Back to top button